ไปยังหน้า : |
[Font : 15 ]
|
| | |
อานนท์! มาเถิด, เราจักไปสู่บ้านเวฬุวคาม. (ณ ที่บ้านนั้น ตรัสให้ภิกษุสงฆ์จำพรรษา), ภิกษุ ท.! เอาเถิด, พวกเธอจงจำพรรษาในเขตเมืองเวสาลีโดยรอบๆ ตามพวกมิตรสหายและชาวเกลอเถิด, ส่วนเราจักจำพรรษา ณ บ้านเวฬุวคามนี้แล. (ภิกษุ ท. จำพรรษาตามพอใจแล้ว, ในพรรษาพระองค์ประชวรหนักจวนสิ้นพระชนมายุ แต่ทรงมีสติสัมปชัญญะไม่กระวนกระวาย, ทรงดำริว่า ต้องแจ้งให้อุปัฎฐาก และภิกษุสงฆ์ ทราบล่วงหน้าเสียก่อนแล้วปรินิพพานจึงจะควร ครั้นหายประชวรแล้วได้ตรัสกะพระอานนท์ผู้ทูลสรรเสริญถึงความอดกลั้นต่อทุกขเวทนาของพระองค์เอง, และท่านหวังว่าคงยังไม่ทรงนิพพานก่อนแต่จะตรัสเรื่องสำคัญอีก).
อานนท์! ภิกษุสงฆ์จักยังหวังอะไรในเราอีกเล่า, ธรรม เราได้แสดงแล้วไม่ขาดระยะ ไม่มีอีกนอกจากที่แสดงแล้ว ไม่มีกำมือในธรรม (คือธรรมที่ยังกำไว้ไม่เปิดเผยให้ดู) แก่ตถาคตเลย. ...ฯลฯ...
อานนท์! บัดนี้เราแก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยนานโดยลำดับ.วัยของเราเป็นมาได้ 80 ปีแล้ว. อานนท์! กายของตถาคร่ำคร่าแล้ว เปรียบเหมือนเกวียนคร่ำคร่า ที่เขาซ่อมแซมปะทะปะทังไว้ด้วยไม้ไผ่.
อานนท์! สมัยใด ตถาคตเข้าสู่เจโตสมาธิ ที่ไม่มีนิมิต เพราะไม่ทำนิมิตทั้งปวงไว้ในใจ ดับเวทนาบางพวกเสีย แล้วแลอยู่; อานนท์! กายของตถาคต ย่อมผาสุกยิ่งนัก. (ต่อจากนี้ตรัสให้มีธรรมหรือตัวเองเป็นที่พึ่ง, คือสติปัฎฐาน 4).
- มหาปรินิพพานสูตร มหา. ที. 10/116/93.