ไปยังหน้า : |
[Font : 15 ]
|
| | |
ทรงขยายความปฏิจจสมุปบาท อย่างวิธีถามตอบPTC18
ดูก่อน อานนท์ ! อย่ากล่าวอย่างนั้น. ดูก่อนอานนท์ ! อย่ากล่าวอย่างนั้น. ก็ปฏิจจสมุปบาทนี้ ลึกซึ้งด้วย มีลักษณะดูลึกซึ้งด้วย. ดูก่อนอานนท์ ! เพราะไม่รู้PTC19 เพราะไม่รู้ตามลําดับ เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมคือปฏิจจสมุปบาท นี้ (จิตของ) หมู่สัตว์นี้ จึงเป็นเหมือนกลุ่มด้ายยุ่ง, ยุ่งเหยิงเหมือนความยุ่งของ กลุ่มด้ายที่หนาแน่นไปด้วยปม, พันกันยุ่งเหมือนเซิงหญ้ามุญชะและหญ้าปัพพชะ อย่างนี้ ; ย่อมไม่ล่วงพ้นสังสาระที่เป็นอบาย ทุคติ วินิบาตไปได้.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า "ชรามรณะที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยมี ไหม ? " ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คําตอบ พึงมีว่า "มีอยู่" ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า " ชรามรณะมี เพราะปัจจัยอะไร ?" ดังนี้แล้ว, คําตอบ พึงมีว่า "ชรามรณะมี เพราะปัจจัยคือชาติ"
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า "ชาติที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยมี ไหม ? " ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คําตอบ พึงมีว่า "มีอยู่". ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า "ซาติมี เพราะ ปัจจัยอะไร ?" ดังนี้แล้ว, คําตอบ พึงมีว่า "ชาติมี เพราะปัจจัยคือภพ".
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า "ภพที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยมีไหม ? ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คําตอบ พึงมีว่า "มีอยู่" ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า "ภพมี เพราะ ปัจจัยอะไร ?" ดังนี้แล้ว, คําตอบพึงมีว่า "ภพมี เพราะปัจจัยคืออุปาทาน".
ดูก่อนอานนท์ ! ถ้าเธอถูกถามว่า "อุปาทานที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยมี ไหม ? " ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คําตอบ พึงมีว่า "มีอยู่" ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า " อุปาทานมี เพราะปัจจัยอะไร ?" ดังนี้แล้ว, คําตอบพึงมีว่า "อุปาทานมี เพราะ ปัจจัยคือตัณหา".
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า “ตัณหาที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยมีไหม ?” ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “มีอยู่”. ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า “ตัณหามีเพราะปัจจัยอะไร ?” ดังนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “ตัณหามี เพราะปัจจัยคือเวทนา”.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า “เวทนาที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยมีไหม ?” ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “มีอยู่”. ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า “เวทนามีเพราะปัจจัยอะไร?” ดังนี้แล้ว, คำตอบพึงมีว่า “เวทนามี เพราะปัจจัยคือผัสสะ”.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า “ผัสสะที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยมีไหม ?” ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “มีอยู่”. ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า “ผัสสะมีเพราะปัจจัยอะไร?” ดังนี้แล้ว, คำตอบพึงมีว่า “ผัสสะมี เพราะปัจจัยคือนามรูป”.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า “นามรูปที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยมีไหม ?” ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “มีอยู่”. ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า “นามรูปมีเพราะปัจจัยอะไร ?” ดังนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “นามรูปมี เพราะปัจจัยคือวิญญาณ”.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า “วิญญาณที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยมีไหม ?” ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “มีอยู่”. ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า “วิญญาณมีเพราะปัจจัยอะไร ?” ดังนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “วิญญาณมี เพราะปัจจัยคือนามรูป”.
ดูก่อนอานนท์ ! ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้แล (เรื่องจึงสรุปได้ว่า) วิญญาณมี เพราะปัจจัยคือนามรูป ; นามรูปมี เพราะปัจจัยคือวิญญาณ ; ผัสสะมี เพราะปัจจัยคือนามรูป ; เวทนามีเพราะปัจจัยคือผัสสะ; ตัณหามี เพราะปัจจัยคือเวทนา ; อุปาทานมี เพราะปัจจัยคือตัณหา ; ภพมี เพราะปัจจัยคืออุปาทาน ; ชาติมี เพราะปัจจัยคือภพ; ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย เกิดขึ้นพร้อม เพราะปัจจัยคือชาติ: ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
หมายเหตุผู้รวบรวม : ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ปฏิจจสมุปบาทแบบนี้ ที่ตั้งต้นจากทุกข์ ขึ้นไปหาอวิชชา, แต่ไปไม่ถึงอวิชชา ไปสิ้นสุดลงเสียเพียงแค่วิญญาณ นามรูป แล้ววกกลับนั้น ยังมีลักษณะพิเศษอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือบางสูตร เช่นสูตรนี้โดยเฉพาะหามี “สฬายตนะ” รวมอยู่ในสาย ด้วยไม่, ผิดจากสูตรอื่นอีกหลายสูตร แห่งแบบนี้. จะสันนิษฐานว่า คัดลอกตกหล่นมาแต่เดิม ก็ไม่มีหนทางที่จะสันนิษฐานอย่างนั้น ; เพราะมีการเว้น คำว่า “สฬายตนะ” เหมือนกันหมดทุกๆ แห่งในสูตรนี้, ทั้งตอนที่เป็นอุทเทส นิทเทส และตอนที่ทรงย้ำครั้งสุดท้าย ในสูตรเดียวกัน.