ไปยังหน้า : |
[Font : 15 ]
|
| | |
๑. พยัญชนะ: (โดยตัวหนังสือ หรือคำแปลตามตัวหนังสือ)
กิเลสโดยพยัญชนะ:
๑.๑ สิ่งที่ทำความเศร้าหมอง.
๑.๒ สิ่งที่เศร้าหมอง.
๑.๓ ของสกปรก.
๑.๔ สิ่งที่ทำความสกปรก.
๒. อรรถะ: (โดยความหมาย)
กิเลสโดยอรรถะ
๒.๑ หมายถึง ความเศร้าหมองทางกาย ทางวาจา ได้แก่ความทุศีล ทุกชนิด.
๒.๒ หมายถึง ความเศร้าหมองทางจิตใจ ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ ทุกชนิด ทุกระดับ; สูงสุดถึง อหังการมมังการมานานุสัย A05
๓. ไวพจน์: (คำที่ใช้เรียกแทนกันได้ทั้งคำบาลีและคำภาษาไทย)
กิเลสโดยไวพจน์ คือ มละ(มลทิน), โยคะ(เครื่องผูก), โอฆะ(เครื่องท่วมทับ), อัคคิ(เครื่องเผา) ฯลฯ
๔. องค์ประกอบ: (ปัจจัยที่ต้องมีมากกว่าหนึ่ง, และปัจจัยนั้นๆต้องทำงานร่วมกันและพร้อมกันในเรื่องเดียวกัน)
กิเลสโดยองค์ประกอบ
๑. สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส (กาย วาจา ใจ).
๒. สังขาร คือ การปรุงให้เกิดกิเลส (ตามกฏอิทัปปัจจยตา).
๓. ความเศร้าหมองที่เกิดขึ้น (หลายชั้น หลายระดับ).
๕. ลักษณะ: (ลักษณะภายนอกที่เป็นเครื่องสังเกตหรือเครื่องกำหนดที่ทำให้รู้ว่าสิ่งนั้นๆเป็นอย่างไร จึงเรียกว่าอย่างนั้น)
กิเลสโดยลักษณะ มีลักษณะ:
๕.๑ สกปรก เศร้าหมอง น่ารังเกียจ.
๕.๒ แห่งราคะ: คือดึงเข้าหาตัว; แห่งโทสะ: คือผลักออก; แห่งโมหะ: คือวิ่งอยู่รอบๆ.
๕.๓ ก่อให้เกิดกรรม (เป็นกงล้อกงหนึ่งของวัฏฏะ).
๕.๔ ของบรรดาสิ่งที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว.
๕.๕ เป็นได้ทั้งบวกและลบ.
๖. อาการ: (อาการเคลื่อนไหว หรือ แสดงความเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ)
กิเลสโดยอาการ มีอาการ:
๖.๑ อยากได้ อยากทำลาย สงสัยติดตาม.
๖.๒ ทำให้เกิดความเศร้าหมองโดยส่วนเดียว.
๖.๓ แสดงออกมาได้ทั้งความเป็นบวกและความเป็นลบ.
๗. ประเภท: (การจำแนกให้เข้ากันเป็นพวกๆตามลักษณะอาการของสิ่งนั้นๆ)
กิเลสโดยประเภท
นัยที่หนึ่ง: แบ่งตามความเป็นเหตุและผล: มีสองอย่าง:
๑. กิเลสที่เป็นเหตุ.
๒. กิเลสที่เป็นผล.
แต่อย่าลืมว่ามันเปลี่ยนตัวมันเองได้ คือ กิเลสที่เป็นผลก็กลายมาเป็นกิเลสที่เป็นเหตุได้
นัยที่สอง: แบ่งตามอาการที่แสดง: มีสามอย่าง:
๑. มีอาการดึงเข้ามาแล้วยึดครองไว้: ได้แก่กิเลสประเภทที่เรียกว่า ราคะหรือโลภะ.
๒. มีอาการผลักออกไปหรือทำลายเสีย: ได้แก่กิเลสประเภทที่เรียกว่า โทสะหรือโกธะ.
๓. มีอาการวนอยู่รอบๆ ด้วยความไม่รู้: ได้แก่กิเลสประเภทที่เรียกว่า โมหะ.
นัยที่สาม: แบ่งตามชั้นแห่งเวลา: มีสามอย่าง:
๑. กิเลสที่ปรากฏตัวออกมาจากเหตุซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส: คือเป็นกิเลสเฉพาะหน้าๆ; จะ เรียกมันว่า กิเลส เฉยๆ.
๒. กิเลสที่เป็นความเคยชินแห่งกิเลสที่เก็บสะสมไว้ในสันดาน: ซึ่งจะเรียกมันว่า อนุสัย.
๓. กิเลสที่พร้อมทีจะไหลกลับออกจากคลังแห่งอนุสัยเมื่อได้โอการหรือปัจจัย: ซึ่งเราจะ เรียกมันว่า อาสวะ.
นัยที่สี่: แบ่งตามอารมณ์ A06. มีหกอย่าง: คือ กิเลสที่เกิดจากอารมณ์ทางตา, ทางหู,
ทางจมูก, ทางลิ้น, ทางกาย, ทางใจ. นอกจากนั้นยังมีทางที่จะแบ่งตามกาลเวลาและ กฏเกณฑ์อื่นๆ เป็นกิเลสหลายร้อยหลายพันชนิดก็ได้; ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องนำมากล่าวในที่นี้ ทั้งหมด
๘. กฏเกณฑ์: (กฏเกณฑ์ของสิ่งนั้นๆหรือกฏเกณฑ์เพื่อจะเข้าไปถึงสิ่งนั้นๆซึ่งอาจมีได้ทั้งโดยบัญญัติและโดยธรรมชาติ)
กิเลสโดยกฏเกณฑ์ คือ ต้องมีอารมณ์ของกิเลส, ต้องมีความขาดสติ, ต้องมีการปรุงแต่งโดยอำนาจของอวิชชา; ครั้นเกิดแล้วเป็นเหตุให้ทำกรรม. ป้องกันได้ด้วยความมีสติ; ตัดเสียได้ด้วยอำนาจของปัญญา; มีรากฐานอยู่บนสัญชาตญาณที่ปราศจากความรู้; เป็นคู่ปรับของโพธิ.
๙. สัจจะ: (ความจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ)
กิเลสโดยสัจจะ
๙.๑ แน่นอนที่ต้องเศร้าหมอง.
๙.๒ แน่นอนที่ต้องทำกรรม.
๙.๓ แน่นอนที่ต้องเกิดทุกข์.
๙.๔ แน่นอนที่จะต้องเป็นสมบัติของปุถุชน.
๑๐. หน้าที่: (การที่สิ่งมีชีวิตจะต้องกระทำเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ)
กิเลสโดยหน้าที่ (โดยสมมติ):
๑๐.๑ มีหน้าที่ทำให้เกิดความเศร้าหมอง.
๑๐.๒ มีหน้าที่ทำให้เกิดกรรมและวิบาก เพื่อการเวียนว่ายไปในวัฏฏะ.
๑๐.๓ มีหน้าที่ทำลายสันติภาพของมนุษย์.
๑๐.๔ มีหน้าที่เป็นพลังของคนโง่.
๑๐.๕ มีหน้าที่เป็นของหอมของงามของอันธพาล.
๑๑. อุปมา: (การเปรียบเทียบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เข้าใจดีอยู่แล้ว เพื่อให้เข้าใจในสิ่งนั้นๆดียิ่งขึ้นจนถึงที่สุด)
กิเลสโดยอุปมา เป็นเสมือนเครื่องรึงรัด; เหมือนลิ่มสลักขันยึดรถที่กำลังแล่น.
๑๒. สมุทัย: (สิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นๆ)
กิเลสโดยสมุทัย
๑๒.๑ อารมณ์ของกิเลส, ความขาดสติในการรับอารมณ์, การปรุงแต่งของอวิชชา, สามอย่างนี้เป็นสมุทัยของกิเลส.
๑๒.๒ สัญชาตญาณที่ไม่มีส่วนแห่งโพธิ มีแต่ส่วนแห่งกิเลส.
๑๒.๓ รชนียธรรมA07 ทั้งปวง.
๑๓. อัตถังคมะ: (ความดับของสิ่งนั้นๆ; คือ ความตั้งอยู่ไม่ได้ชั่วคราว หรือตลอดไปของสิ่งนั้นๆ)
กิเลสโดยอัตถังคมะ
๑๓.๑ การขาดปัจจัยของกิเลสนั้นๆ ตามธรรมชาติ.
๑๓.๒ ความมาทันเวลาของสติสัมปชัญญะ (ปัญญา).
๑๓.๓ ธรรมเป็นข้าศึกแก่กิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้น.
๑๓.๔ เวลาว่างจากกิเลส ซึ่งมีได้ตามธรรมชาติ(เพราะกิเลสมิได้เกิดอยู่ตลอดเวลา).
๑๔. อัสสาทะ: (เสน่ห์หรือรสอร่อยที่ยั่วยวนของสิ่งนั้นๆซึ่งมีต่อมนุษย์)
กิเลสโดยอัสสาทะ
๑๔.๑ กิเลสมีเสน่ห์ มีรสอร่อยแห่งความหลอกลวงสูงสุด.
๑๔.๒ กิเลสเป็นที่เกิดและเป็นที่ตั้งแห่งนันทิราคะA08 ทุกชนิด ทุกระดับ.
๑๕. อาทีนวะ: (โทษหรือความเลวร้ายของสิ่งนั้นๆซึ่งซ่อนอยู่อย่างเห็นได้ยาก)
กิเลสโดยอาทีนวะ
๑๕.๑ ทำให้สูญเสียความเป็นมนุษย์เป็นคราวๆ.
๑๕.๒ ทำให้มีอาการเหมือนตกนรกเป็นคราวๆ.
๑๕.๓ ทำให้ติดไปกับวงของวัฏฏะ.
๑๕.๔ทำให้โลกประสบอุปสรรคและความสูญเสีย.
๑๖. นิสสรณะ: (อุบายหรือวิธีที่จะออกหรือพ้นจากอำนาจของสิ่งนั้นๆ)
กิเลสโดยนิสสรณะ
๑๖.๑ อริยมรรคมีองค์แปด หรือความเป็นอยู่ที่ถูกต้อง.
๑๖.๒ ความมีศึล สมาธิ ปัญญา อยู่โดยปกติ.
๑๖.๓ การดำรงอยู่หรือมีชีวิตอยู่อย่างที่ไม่ให้โอกาส, ไม่ให้ปัจจัย, ไม่ให้ที่อาศัย ฯลฯ แก่กิเลส: เรียกว่า สัมมาวิหารA09 ซึ่ง "ทำโลกให้ไม่ว่างจากพระอรหันต์"
๑๗. ทางปฏิบัติ: (ทางปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆเพื่อให้เกิดผลดีตามที่ประสงค์)
กิเลสโดยทางปฏิบัติ เพื่อออกจากการตกเป็นทาสของกิเลส:
๑๗.๑ มีการกระทำที่เป็นการทำลายต้นตอของกิเลส คือ อวิชชาอยู่เป็นนิจ.
๑๗.๒ มีสติอยู่ทุกเมื่อ ทุกสถานที่ และทุกกรณี.
๑๗.๓ มีการเป็นอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ผู้อื่นและความถูกต้อง.
๑๘. อานิสงส์: (ประโยชน์ที่จะพึงได้รับจากการปฏิบัติอย่างถูกต้องต่อสิ่งนั้นๆ)
กิเลสโดยอานิสงส์ ให้บทเรียน ทำให้ฉลาด เอาชนะกิเลสเพื่อลุถีงนิพพาน.
๑๙. หนทางถลำ: (การมีโอกาสหรือความบังเอิญที่ทำให้เกิดความง่ายแก่การปฏิบัติ หรือการทำหน้าที่ให้สำเร็จโดยง่ายยิ่งขึ้น; แต่ในบางกรณี ความบังเอิญนี้มีได้แม้ในฝ่ายลบที่ไม่พึงประสงค์)
กิเลสโดยหนทางถลำ เข้าไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของกิเลส:
๑๙.๑ ความประมาทปราศจากสติ.
๑๙.๒ ความเป็นอยู่อย่างหละหลวม ปราศจากธรรมเครื่องยึดหน่วง.
๑๙.๓ คบคนพาลเป็นเพื่อนหรือเป็นผู้นำ
๑๙.๔ อาการชอบทำอะไรตามใจตัว.
๒๐. สิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง: (ปัจจัยหรืออุปกรณ์พิเศษอื่นๆ ที่จะช่วยให้การกระทำเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆเกิดความสำเร็จได้โดยง่ายและโดยเร็วที่สุด)
กิเลสโดยสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง ในการเกิดกิเลส:
๒๐.๑ ปัจจัยหรืออารมณ์ของกิเลส.
๒๐.๒ อวิชชา ความปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง.
๒๐.๓ ความปราศจากสติ.
๒๐.๔ อนุสัย (ความเคยชินที่จะเกิดกิเลสในภายใน).
๒๑. ภาษาคน-ภาษาธรรม: (การพูดจาที่จะกล่าวถึงสิ่งใดๆนั้นมีทางพูดได้สองภาษาคือ ภาษาคนและภาษาธรรม (1) ภาษาคน หมายถึง ภาษาที่คนธรรมดาใช้พูด ซึ่งมักระบุไปยังบุคคลหรือวัตถุภายนอก ที่เรียกกันว่า บุคคลาธิษฐาน (2)ภาษาธรรม หมายถึง ภาษาที่ผู้รู้ธรรมพูด ซึ่งมักระบุไปยังคุณค่าหรือคุณสมบัติ โดยไม่เล็งถึงบุคคลหรือวัตถุ ที่เรียกกันว่า ธรรมาธิษฐาน)
๒๑.๑
ภาษาคน: ความสกปรกทางวัตถุทางกาย ซึ่งมีการชำระด้วยวัตถุ.
ภาษาธรรม: ความสกปรกทางจิตใจ ซึ่งต้องชำระด้วย วิปัสสนาญาณ.
๒๑.๒
ภาษาคน: ดูไม่น่ากลัวหรือเป็นของธรรมดา.
ภาษาธรรม: ยิ่งกว่าน่ากลัว.
ธรรมโฆษณ์ที่แนะนำให้อ่าน
๑. ธรรมบรรยายระดับมหาวิทยาลัย เล่ม ๒
๒. ธรรมะกับสัญชาตญาณ
๓. พุทธิกจริยธรรม
๔. ฟ้าสางฯ ตอน ๑,๒