ไปยังหน้า : |
[Font : 15 ]
|
| | |
ภิกษุ ท.! แต่ชาติที่แล้วมาแต่อดีต ตถาคตได้เคยเจริญเมตตาภาวนาตลอด 7 ปี จึงไม่เคยมาบังเกิดในโลกมนุษย์นี้ ตลอด 7 สังวัฎฎกัปป์ และวิวัฎฎ-กัปป์. ในระหว่างกาลอันเป็นสังวัฎฎกัปป์นั้น เราได้บังเกิดในอาภัสสรพรหม. ในระหว่างกาลอันเป็นวิวัฎฎกัปป์นั้น เราก็ได้อยู่พรหมวิมานอันว่างเปล่าแล้ว.
ภิกษุ ท.! ในกัปป์นั้น เราได้เคยเป็นพรหม ได้เคยเป็นมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครครอบงำได้ เป็นผู้เห็นสิ่งทั้งปวงโดยเด็ดขาด เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด.
ภิกษุ ท.! เราได้เคยเป็นสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเทวดา นับได้ 36 ครั้ง.เราได้เคยเป็นราชาจักรพรรดิผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม มีแว่นแคว้นจดมหาสมุทรทั้ง 4 เป็นที่สุด เป็นผู้ชนะแล้วอย่างดี มีชนบทอันบริบูรณ์ประกอบด้วยแก้วเจ็ดประการ นับด้วยร้อยๆ ครั้ง, ทำไมจะต้องกล่าวถึงความเป็นราชาตามธรรมดาด้วย.
ภิกษุ ท.! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ผลวิบากแห่งกรรมอะไรของเราหนอ ที่ทำให้เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากถึงอย่างนี้ มีอานุภาพมากถึงอย่างนี้ ในครั้งนั้นๆ.
ภิกษุ ท.! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ผลวิบากแห่งกรรม 3 อย่างนี้แล ที่ทำให้เรามีฤทธิ์มากถึงอย่างนี้ มีอานุภาพมากถึงอย่างนี้, วิบากแห่งกรรม 3 อย่าง ในครั้งนั้น คือ ผลวิบากแห่ง ทาน การให้ 1, แห่ง ทมะ การบีบบังคับใจ 1, แห่ง สัญญมะ การสำรวมระวัง 1, ดังนี้.
- บาลี อิติวุ. ขุ. 25/240/200. ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย.