[Font : 15 ]
| |
ทรงมีลักษณะสัมมาสัมพุทธะ ทั้งในขณะทำและไม่ทำหน้าที่ |  

ภิกษุ ท.! ลำดับนั้น มารผู้มีบาปได้เข้าสิงซึ่งพรหมปาริสัชชะ ตนใดตนหนึ่ง แล้วกล่าวกะเราอย่างนี้ว่า "ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์! ถ้าท่านรู้ชัดอย่างนั้น ตรัสรู้อย่างนั้น ท่านอย่าจูงนำ อย่าแสดงธรรม แก่สาวกแก่บรรชิตเลย; อย่าถึงความยินดีในหมู่สาวกในหมู่บรรชิตเลย. ดูก่อนภิกษุ! ในกาลก่อนแต่กาลแห่งท่าน ได้มีสมณพราหมณ์ผู้ปฎิญญาอยู่ว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะในโลก ได้จูงนำ ได้แสดงธรรม แก่สาวกแก่บรรพชิต, ด้วยทำความยินดีในหมู่สาวกในหมู่บรรชิต; เพราะการทำลายแห่งกาย เพราะการขาดแห่งปราณ ได้ตั้งอยู่แล้วในกายอันเลว. ดูก่อนภิกษุ! ในกาลก่อนแต่กาลแห่งท่าน ได้มีสมณพราหมณ์ (อีกพวกหนึ่ง) ผู้ปฎิญญาอยู่ว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะในโลก ไม่จูงนำ ไม่แสดงธรรม แก่สาวกแก่บรรพชิต, ไม่ทำความยินดีในหมู่สาวกในหมู่บรรชิต; เพราะการทำลายแห่งกาย เพราะการขาดแห่งปราณ ได้ตั้งอยู่แล้วในกายอันประณีต. ดูก่อนภิกษุ! เราขอกล่าวความข้อนี้กะท่าน อย่างนี้ว่า `ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์! ท่านจงเป็นผู้ขวนขวายน้อย ประกอบอยู่ในสุขวิหารในธรรมอันท่านเห็นแล้ว อยู่เถิด; การไม่กล่าวไม่บอก เป็นการดี; ท่านอย่ากล่าวสอนผู้อื่นเลย'. ดังนี้".

ภิกษุ ท.! เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกะมารนั้นอย่างนี้ว่า "มารผู้มีบาป! เรารู้จักท่าน; ท่านอย่าสำคัญว่าเราไม่รู้จักท่าน.ดูก่อนมารผู้มีบาป! ท่านเป็นมาร! ท่านไม่ได้มีความเอ็นดูเกื้อกูลอะไรกะเราท่านจึงกล่าวอย่างนี้. ดูก่อนมารผู้มีบาป! ท่านไม่ได้มีความเอ็นดูเกื้อกูล ท่านจึงกล่าวกะเราอย่างนี้. ดูก่อนมารผู้มีบาป! ท่านมีความคิดเกี่ยวกับเราอย่างนี้ว่า`พระสมณโคดมแสดงธรรมแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นจักพ้นจากวิสัยแห่งแรา'ดังนี้. ดูก่อนมารผู้มีบาป! สมณพราหมณ์ของท่านตามที่ท่านกล่าวว่าปฎิญญาอยู่ว่าเป็นสัมมาสัมพุทธะนั้น หาใช่เป็นสัมมาสัมพุทธะไม่. ดูก่อนมารผู้มีบาป! เรานี่แหละ เป็นสัมมาสัมพุทธะ ปฎิญญาอยู่ว่าเป็นสัมมาสัมพุทธะ. ดูก่อนมารผู้มีบาป! ตถาคต เมื่อแสดงธรรมแก่สาวก ท. อยู่ ก็เป็นสัมมาสัมพุทธะเช่นนั้นแหละ; แม้เมื่อไม่แสดงธรรมแก่สาวก ท. อยู่ ก็เป็นสัมมาสัมพุทธะเช่นนั้นแหละ. ดูก่อนมารผู้มีบาป! ตถาคต เมื่อจูงนำสาวก ท. อยู่ ก็เป็นสัมมาสัมพุทธะเช่นนั้นแหละ; แม้เมื่อไม่จูงนำสาวก ท. อยู่ ก็เป็นสัมมาสัมพุทธะเช่นนั้นแหละ. ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไรเล่า? ดูก่อนมารผู้มีบาป! ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุว่า อาสวะท. เหล่าใด ซึ่งเป็นความเศร้าหมอง นำให้เกิดภพใหม่ มีความกระวนกระวายมีผลเป็นทุกข์ อันนำให้เกิดชาติชรามาณะสืบต่อไป นั้นตถาคตละหมดแล้ว มีมูลรากอันถอนขึ้นได้แล้ว กระทำให้เหมือนต้นตาลไม่มีวัตถุสำหรับงอก กระทำให้ถึงความไม่มีไม่เป็น เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา; เปรียบเหมือนต้นตาลมีขั้วยอดอันขาดแล้ว ไม่อาจจะงอกงามอีกได้, ฉันใดก็ฉันนั้น.

- บาลี พรหมนิมันตนิกสูตร มู.ม. 12/597/556. ตรัสแก่มารผู้แปลงเป็นพรหมโต้ตอบกับพระองค์ ด้วยเรื่องของพวกพรหมในพรหมโลก.


เกี่ยวกับธรรมโฆษณ์ออนไลน์ (Disclaimer)
แม้ระบบ "ธรรมโฆษณ์ออนไลน์" พยายามปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องมากที่สุด ผู้ศึกษาก็พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือต้นฉบับ ที่มีการพิมพ์ครั้งล่าสุด ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง"

  |     |   แจ้งข้อผิดพลาด / แนะนำ
หนังสือที่เกี่ยวข้อง