ไปยังหน้า : |
[Font : 15 ]
|
| | |
1. พยัญชนะ : อิทัปปัจยตาโดยพยัญชนะ : คือ ความมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
2. อรรถะ : อิทัปปัจยตาโดยอรรถะ :
2.1 ทุกสิ่งมีปัจจัยแห่งการเกิดและการดับ.
2.2 เมื่อปัจจัยแห่งการเกิดมีแก่สิ่งใด ; สิ่งนั้นๆ ก็เกิดขึ้นและมีอยู่.
2.3 เมื่อปัจจัยไม่มีแก่สิ่งใด ; สิ่งนั้นก็ไม่มีอยู่หรือดับ.
ข้อนี้หมายความว่า ไม่เกี่ยวกับพระเจ้าผู้สร้าง เป็นต้น ; และมิได้หมายความว่า ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอะไรเสียเลย.
3. ไวพจน์ : อิทัปปัจยตาโดยไวพจน์ : คือ ปฏิจจสมุปบาท, ธัมมัฏฐิตตา, ธัมมนิยามตา, ตถตา, อวิตถตา, อนัญญถตา, ยถาปัจจยปวัตตนตา.
4. องค์ประกอบ : อิทัปปัจยตาโดยองค์ประกอบ : มีสาม : คือ เหตุ, ผล และการปรุงแต่ง.
5. ลักษณะ : อิทัปปัจยตาโดยลักษณะ : มีลักษณะ :
5.1 เป็นกฎธรรมชาติ.
5.2 ภาวะแห่งการปรุงแต่ง.
5.3 เป็นมัชฌิมาปฏิปทา.
6. อาการ : อิทัปปัจยตาโดยอาการ : มีอาการ :
6.1 สัมพันธ์กันเป็นสายเหมือนลูกโซ่.
6.2 เป็นอนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา, ตถตา ฯลฯ
7. ประเภท : อิทัปปัจยตาโดยประเภท :
7.1 แบ่งโดยประเภทสอง :
1. อิทัปปัจจยตาที่นำไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ อสังขตะ.
2. อิทัปปัจจยตาที่วนเวียนอยู่ในฝ่ายสังขตะเท่านั้น.
7.2 อิทัปปัจจยตาตามปกติที่ใช้กับฝ่ายสังขตะเท่านั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท :
1. อิทัปปัจจยตาของสิ่งที่เป็นเหตุ.
2. อิทัปปัจจยตาของสิ่งที่เป็นผล.
3. อิทัปปัจจยตาของปัจจยาการ (การปรุงแต่ง).
8. กฎเกณฑ์ : อิทัปปัจยตาโดยกฎเกณฑ์ :
8.1 ต้องมีเหตุและเป็นไปตามเหตุ.
8.2 จะเกิดขึ้นหรือดับลงก็แล้วแต่เหตุ.
9. สัจจะ : อิทัปปัจยตาโดยสัจจะ :
9.1 เป็นกฎตายตัวแห่งธรรมประเภทสังขตะ.
9.2 เป็นกฎธรรมชาติที่มีอยู่เอง ไม่มีใครสร้าง (กฎธรรมชาติทั้งหลายมีลักษณะเป็นอสังขตะ).
9.3 เป็นแม่บทแห่งกฎทั้งหลายที่เกี่ยวกับสังขตธรรม.
9.4 เป็นกฎแม่บทแห่งกฎวิวัฒนาการ.
9.5 เป็นกฎที่ควบคุมการเกิดขึ้นและการดับลงแห่งทุกข์.
9.6 เป็นสิ่งที่ผู้ไม่รู้หลงยึดถือเอาส่วนใดส่วนหนึ่ง (ของกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา) ว่าเป็นตัวเรา ; เป็นของเรา.
10. หน้าที่ : อิทัปปัจยตาโดยหน้าที่ (โดยสมมติ) : ควบคุมสากลจักรวาล ในความหมายที่เขาใช้กันกับพระผู้เป็นเจ้า ; คือ ผู้สร้าง, ผู้ควบคุม และผู้ทำลาย.
11. อุปมา : อิทัปปัจยตาโดยอุปมา : เปรียบเสมือน :
11.1 พระเป็นเจ้า.
11.2 ผ้าซับน้ำตา (สำหรับผู้รู้จักใช้เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น).
12. สมุทัย : อิทัปปัจยตาโดยสมุทัย : ไม่มี. แต่อิทัปปัจจยตาที่เนื่องกันเป็นสายเป็นสมุทัยให้แก่กันและกัน.
13. อัตถังคมะ : อิทัปปัจยตาโดยอัตถังคมะ : ไม่มี. เพราะเป็นอสังขตะ ; มีแต่อัตถังคมะของอิทัปปัจจยตาแต่ละขั้นๆ ที่เนื่องกันเป็นสาย.
14. อัสสาทะ : อิทัปปัจยตาโดยอัสสาทะ : ไม่มีในอาการของอิทัปปัจจยตาแต่ละอาการ ; แต่มี ในกฎของอิทัปปัจจยตาที่ได้ใช้อาศัยเพื่อการดับทุกข์.
15. อาทีนวะ : อิทัปปัจยตาโดยอาทีนวะ : มีแก่ผู้ไม่รู้จัก แล้วไม่ปฏิบัติตามกฎอิทัปปัจจยตาโดยไม่รู้สึกตัว.
16. นิสสรณะ : อิทัปปัจยตาโดยนิสสรณะ : คือ การปฏิบัติตามกฏอิทัปปัจจยตาฝ่ายนิโรธ เป็นหนทางออกจากอำนาจของอิทัปปัจจยตาเอง.
17. ทางปฏิบัติ : อิทัปปัจยตาโดยทางปฏิบัติ : เพื่อให้ได้รับผลตามกฏอิทัปปัจจยตา :
17.1 มีสติในขณะแห่งผัสสะ เพื่อควบคุมผัสสะให้เป็นวิชชาสัมผัสอยู่เสมอ.
17.2 มีสติควบคุมเวทนา ไม่ให้ปรุงเป็นตัณหา ; ให้รู้แต่เพียงว่าจัดการอย่างไรกับเวทนานั้น.
17.3 มีสติปัญญาควบคุมตัณหา มิให้ปรุงเป็นอุปาทาน. (หากแต่เป็นข้อปฏิบัติที่ยากอย่างยิ่งสำหรับสามัญสัตว์).
18. อานิสงส์ : อิทัปปัจยตาโดยอานิสงส์ :
18.1 อานิสงส์อย่างโลกๆ ของอิทัปปัจจยตา : คือ ทำให้เกิดโอกาสแห่งการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเท่าที่จะทำได้.
18.2 อานิสงส์ของความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา : คือ สามารถตั้งอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทา ; ไม่ตกไปสุดโต่งฝ่ายอัตตาและฝ่ายนิรัตตา และของคู่ตรงกันข้ามอื่นๆ เช่น ดี - ชั่ว, บุญ - บาป เป็นต้น.
18.3 อานิสงส์แห่งการปฏิบัติตามกฏอิทัปปัจจยตา : คือ ดับทุกข์โดยสิ้นเชิง.
19. หนทางถลำ : อิทัปปัจยตาโดยหนทางถลำ : เข้าไปในกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาฝ่ายดับทุกข์ : คือ ความบังเอิญมีสติในขณะแห่งผัสสะและเวทนา.
20. สิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง : อิทัปปัจยตาโดยสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง : ในการปฏิบัติตามหลักอิทัปปัจจยตา :
20.1 ลำดับของการปฏิบัติที่จะต้องรักษา : มีสาม :
1. การรู้เรื่องอิทัปปัจจยตาไปตามลำดับ (เรียกว่า สัจจานุโพธา).
2. การปฏิบัติและการบรรลุไปตามลำดับ ซึ่งความจริงของกฎอิทัปปัจจยตา (เรียกว่า สัจจานุปัตติ).
3. การรักษาความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตาไปตามลำดับ (เรียกว่า สัจจานุรักขณา).
20.2 ธรรมะ 4 เกลอ :
1. สติ ระลึกถึงธรรมทั้งหลายที่อาจจะแก้ปัญหานั้นได้ทันเวลา.
2. ปัญญาหรือความรู้ ที่สติเลือกคัดเอามาอย่างเหมาะสมแก่เหตุการณ์นั้นๆ.
3. สัมปชัญญะ คือ ปัญญานั้นเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้นอยู่ด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม.
4. สมาธิ คือ กำลังจิตที่เพิ่มให้อย่างเพียงพอ.
ทั้ง 4 อย่างนี้ทำงานสัมพันธ์กันเป็นกลุ่มอย่างประสานกัน.
21. ภาษาคน - ภาษาธรรม : อิทัปปัจยตาโดยภาษาคน - ภาษาธรรม :
ภาษาคน : “สายเวรสายกรรม”.
ภาษาธรรม : กระแสแห่งการอาศัยกันแล้วเกิดขึ้นหรือดับลง.
ธรรมโฆษณ์ที่แนะนำให้อ่าน
1. ไกวัลยธรรม
2. ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์
3. อิทัปปัจจยตา