ไปยังหน้า : |
[Font : 15 ]
|
| | |
1. พยัญชนะ : สมาธิโดยพยัญชนะ : คือ ตั้งมั่น หรือตั้งมั่นอยู่อย่างเสมอ.
2. อรรถะ : สมาธิโดยรรถะ :
2.1 เอกัคคตาจิตมีอารมณ์เดียวคือ นิพพาน.
2.2 ภาวะของจิตที่บริสุทธิ์ ตั้งมั่น ว่องไว.
2.3 การรวมกำลังของจิต.
2.4 โดยนัยอันกว้างขวางหมายถึง : ระบบของความรู้, ระบบของการปฏิบัติ ; ตัวของการปฏิบัติ, และผลที่ได้รับจากการปฏิบัติ ; อันเกี่ยวกับการทำจิตให้ตั้งมั่น เรียกรวมอยู่ในคำว่าสมาธิ.
2.5 ไม่มีการกระทำผิดในทางจิต ชนิดที่ทำจิตให้ฟุ้งซ่าน.
2.6 ภาวะของจิต มีอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ฟุ้งซ่าน.
3. ไวพจน์ : สมาธิโดยไวพจน์ :
นัยที่ 1 : ไวพจน์ของสมาธิโดยผล หรือลักษณะ หรือโดยภาวะ : ได้แก่ สมถะ, ฌานที่เป็นการเพ็งอารมณ์, เอกัคคตาจิตA76.
นัยที่ 2 : ไวพจน์ของสมาธิโดยการปฏิบัติ : ได้แก่ สมถกัมมัฏฐาน, สมถภาวนา, สมณธรรมในขั้นที่เกี่ยวกับจิต, สมาบัติA77, สมาธิวิโมกข์A78.
4. องค์ประกอบ : สมาธิโดยองค์ประกอบ :
1. จิต.
2. อารมณ์ของจิต (สิ่งที่จิตใช้กำหนด อาจเห็นวัตถุหรือนามธรรมทั้งที่เป็นภายนอก หรือภายในก็ได้).
3. การกำหนดอารมณ์.
4. ธรรมที่ควบคุมจิตให้เกิดสมาธิ คือ สติ สัมปชัญญะ ปัญญา.
5. องค์ประกอบชั้นอุปกรณ์ : ต้องมีความเหมาะสม ; อารมณ์ของสมาธิที่เหมาะสม ; เช่น ลมหายใจ.
6. มีกัลยาณมิตรที่จะให้ความช่วยเหลือ.
7. ภาวนาที่ถูกต้องตามลำดับของการกระทำ : คือ : ปริกัมมภาวนาA79, อปจารภาวนาA80, อัปปนาภาวนาA81.
5. ลักษณะ : สมาธิโดยลักษณะ : มีลักษณะสาม :
5.1 ความบริสุทธิ์ของจิต (ปริสุทโธ).
5.2 ความตั้งมั่นของจิต (สมาหิโต).
5.3 ความควรแก่การงานของจิต (กัมมนีโย).
6.อาการ : สมาธิโดยอาการ : มีสาม :
6.1 ปราโมทย์.
6.2 เข้มแข็ง.
6.3 ปล่อยวาง (อย่างน้อยก็นิวรณ์). และมีอาการตามลักษณะที่กล่าวแล้วข้างต้น.
7. ประเภท : สมาธิโดยประเภท : แบ่งเป็นสอง : โดยการเกิด :
1. สัญชาตสมาธิ : คือสมาธิที่เกิดเองตามธรรมชาติ.
2. ภาวิตสมาธิ : คือสมาธิที่เกิดจากการกระทำของผู้ปฏิบัติ ซึ่งแบ่งได้เป็นหกรูปแบบ :
รูปแบบที่ 1 : แบ่งโดยอาการที่ปรากฏ : แยกออกได้เป็นสอง :
1. สมาธิล้วน เช่น ฌาน, สมาบัติ.
2. สมาธิที่กำลังทำงานอยู่กับปัญญา ที่เรียกว่า อนันตริยสมาธิ.
รูปแบบที่ 2 : แบ่งโดยลำดับของการปฏิบัติ : แยกออกเป็นสาม :
1.บริกรรมสมาธิA82
2. อุปจารสมาธิA83
3. อัปนาสมาธิA84
รูปแบบที่ 3 : แบ่งโดยมูลเหตุ :
1. สัมมาสมาธิ : มีวิชาเป็นมูลเหตุ.
2. มิจฉาสมาธิ : มีอวิชาเป็นมูลเหตุ.
รูปแบบที่ 4 : แบ่งโดยผลที่ได้รับ : มี 4 :
1. สามัญสมาธิ และสัมมาสมาธิ.
2. สมาธิ 3 ขั้นตอน : คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ.
3. โลกิยสมาธิ และโลกุตตรสมาธิ.
4. เจโตสมาธิ และปัญญาสมาธิ (ได้แก่ สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ).
รูปแบบที่ 5 : แบ่งโดยวัตถุ (ที่ตั้ง) ที่เป็นอารมณ์ : มีสาม :
1. รูปธรรมเป็นอารมณ์.
2. อปธรรมเป็นอารมณ์.
3. นิพพานเป็นอารมณ์ (ซึ่งเรียกว่าธัมมสมาธิ).
รูปแบบที่ 6 : แบ่งโอยอุดมคติ : มีสอง :
1. โลกิยสมาธิที่เป็นไปเผื่อวัฏฏะ : ได้แก่ รูปฌาน, อรูปฌาน ; ที่มุ่งหมายรูปภพ, อรูปภพ.
2. โลกุตตรสมาธิที่เป็นไปเพื่อวิวัฏฏะ (ออกจากวัฏฏะ) : ได้แก่ ธัมมสมาธิ ที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ (มีบริกรรมว่า เอตํ สนตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ ฯลฯ).
8. กฎเกณฑ์ : สมาธิโดยกฎเกณฑ์ :
8.1 ต้องมีจิต (ซึ้งเป็นตัวผู้กระทำ).
8.2 ต้องมาอารมณ์สำหรับจิตโดยเฉพาะ.
8.3 ต้องมีการกำหนดอารมณ์.
8.4 ต้องมุ่งสมาธิที่เป็นไปเพื่อการสิ้นอาสวะ ที่(กำหนดความเกิดขึ้นและความดับไปแห่งอุปทานขันธ์).
8.5 ต้องเป็นระบบสมาธิที่ถูกต้อง ตามพระพุทธประสงค์ เช่น ระบบอานาปานสติภาวนา เป็นต้น.
9. สัจจะ : สมาธิโดยสัจจะ :
9.1 เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา.
9.2 ทำให้เกิดความสุขในทิฏฐธรรม (ในปัจจุบัน).
9.3 การกระทำนั้นต้องมีจิต อารมณ์ของจิต การกำหนดอารมณ์.
9.4 ต้องมีการกนะทำที่ให้เกิดธรรมะใหม่ที่สูงขึ้นไป และมีการรักษาธรรมะของเก่าที่เกิดแล้ว อยู่เป็นประจำ.
10. หน้าที่ : สมาธิโดยหน้าที่ (โดยสมมติ) :
10.1 ขจัดนิวรณ์.
10.2 ทำให้เกิดวิปัสสนาปัญญา.
10.3 ทำให้เกิดความสุขสงบในปัจจุบัน.
10.3 ทำให้เกิดความสุขสงบในปัจจุบัน.
10.4 ทำให้จิตเกิดกำลังที่เหมาะสมแก่การงานของจิต.
11. อุปมา : สมาธิโดยอุปมา : เปรียบเสมือน :
11.1 เป็นสหายของกันและกันกับปัญญา.
11.2 เป็นน้ำหนักซึ่งต้องมีใช้คู่กันกับความคม เมื่อมีการตัด.
11.3 เหมือนควายตัวที่เป็นกำลัง ในคู่ควายที่ใช้ไถนา.
11.4 เหมือนการเช็ดแว่นตาที่ฝ้ามัวให้ใสกระจ่าง.
12. สมุทัย : สมาธิโดยสมุทัย :
12.1 ความเป็นประโยชน์ของสมาธิ.
12.2 จากการบีบบังคับของความทุกข์ที่เกี่ยวกับจิต อันเป็นสมาธิ.
13. อัตถังคมะ : สมาธิโดยอัตถังคมะ :
13.1 เมื่อมีนิวรณ์ กิเลสครอบงำ.
13.2 เมื่อไม่รักษาสมาธิที่ได้แล้ว หรือเลิกเกี่ยวข้องกับสมาธิ.
14. อัสสาทะ : สมาธิโดยอัสสาทะ :
14.1 ความสุขสงบเย็น หรือเป็นไปเพื่อความสงบ.
14.2 ความเชื่อว่าจะได้อุบัติในภพตามชื่อของสมาธินั้น.
14.3 บางพวกมีการได้ปาฏิหาริย์ตามที่ประสงค์ เป็นอัสสาทะของสมาธิ.
15. อาทีนวะ : สมาธิโดยอาทีนวะ :
15.1 มีเฉพาะผู้หลงติด หรือนำไปใช้อย่างผิดๆ.
15.2 เมื่อมีการยึดมั่นสมาธินั้นๆ ด้วยอุปาทาน.
16. นิสสรณะ : สมาธิโดยนิสสรณะ : นิสสรณะไม่มีแก่สมาธิ ; เพราะสมาธิไม่มีหน้าที่ที่จะออกจากสิ่งใด. แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องใช้สมาธิเป็นนิสสรณะอย่างหนึ่ง เพื่อการออกจากทุกข์.
17. ทางปฏิบัติ : สมาธิในทางปฏิบัติ :
17.1 ความถูกต้องพร้อมเพรียงของอุปกรณ์ของสมาธิ เช่น มีศีลสมบูรณ์, มีสัปปายธรรม (สถานที่เหมาะสม, คบหาสัตบุรุษ).
17.2 กำหนดจิตอยู่ที่อารมณ์ที่เกื้อกูลแก่การเป็นสมาธิ.
17.3 ควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้เกิดอาการที่เป็นข้าศึกแก่ความเป็นสมาธิ.
18. อานิสงส์ : สมาธิโดยอานิสงส์ :
18.1 ทำให้เกิดยถาภูตณาณทัสสนะ ; เห็นสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง; เป็นบาทฐานของปัญญา แล้วจะเห็นอนิจจัง, ทุกขัง,อนัตตา.
18.2 ทำให้สมบูรณ์ด้วยสมาธิสัมโพชฌงค์A85 ซึ่งช่วยให้ง่ายในการที่จะบรรลุ มรรค ผล นิพพาน.
18.3 ทำให้เกิดสุขสงบเย็นในทิฏฐธรรมนี้.
18.4 ทำให้เกิดปัญญาและธรรมะอื่นๆ ที่อยู่ในอำนาจของปัญญา เช่น ศีล เป็นต้น.
18.5 ช่วยควบคุมการเกิดแห่งตัวตน เมื่อสมาธินั้นอยู่ในรูปของวิริยะ สติ สัมปชัญญะ.
18.6 มีอานิสงค์ตามชนิดของสมาธิ :
1. ฌาน : ทำให้เกิดความสุขในปัจจุบัน.
2. อาโลกสัญญา : ทำให้เกิดอำนาจทิพย์ เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์.
3. อนุสสติภาวนา : ที่เป็นไปเพื่อความสมบูรณ์แห่งสติ สัมปชัญญะ.
4. สมาธิภาวนาที่กำหนดการเกิด - ดับของอุปทานขันธ์ ซึ่งมีผลมทำให้สิ้นอาสวะ.
18.7 ช่วยให้มีการเป็นอยู่อย่างมีชีวิตเย็น เช่น เป็นอยู่โดยปราศจากการรบกวนของนิวรณ์ และอุปกิเลสอื่นๆ.
18.8 ใช้เป็นอุปกรณ์ของการพัฒนาจิต.
18.9 นำไปใช้ประโยชน์ได้ในทุกกิจการ ทุกแขนงงานของมนุษย์ ; แม้ในทางโลก.
18.10 ประโยชน์ของสมาธิ อาจนำไปใช้ในหน้าที่การงานของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน :
1.จิตบริสุทธิ์ ก็ไม่ทำคอรัปชั่น ไม่เห็นแก่ตัว.
2. จิตใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ทนต่อการยั่วยวนของสิ่งที่ชักจูงจิตไปสู่ทุจริตหรืออคติ.
3. จิตว่องไวในหน้าที่การงาน ช่วยให้ทำหน้าที่ทุกอย่างสำเร็จได้ดีที่สุด, โดยง่าย และรวดเร็ว.
19. หนทางถลำ : สมาธิโดยหนทางถลำ : เข้าไปสู่ความมีสมาธิ :
19.1 สร้างอารมณ์สงบเย็น กล่อมเกลาชีวิตไว้เป็นประจำ.
19.2 อยู่ในสิ่งแวดล้อมอันสงบสงัด.
20. สิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง : สมาธิโดยสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้อง :
20.1 สัปปายธรรม : เช่นมีความเหมาะสมทางกาย สถานที่ กัลยาณมิตร ฯลฯ
20.2 ปัญญา : คือสัมมาทิฏฐิ รู้ประโยชน์ของสมาธิ.
20.3 ศีล : คือความถูกต้องทางวัตถุ ปัจจัย ทางกายและทางวาจา ซึ่งเป็นองค์ประกอบของการดำรงชีวิต.
21. ภาษาคน - ภาษาธรรม : สมาธิโดยภาษาคน - ภาษาธรรม :
ภาษาคน : ของคนทั่วไปหมายถึง : การนั่งหลับตานิ่งๆ เงียบๆ ไม่คิดนึกอะไร ตามที่เข้าใจกันโดยมาก.
ภาษาธรรม : 1. ความหมายที่ถือเป็นมาตรฐานทั่วไป : คือ ความมีจิตบริสุทธิ์, ความมี จิตตั้งมั่น, ความมีจิตว่องไวในหน้าที่การงาน.
2. ความหมายชั้นลึก : คือ เอกัคคตาจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์.
ธรรมโฆษณ์แนะนำให้อ่าน
1. ธรรมศาสตรา เล่ม 1
2. ธรรมะเล่มน้อย
3. บรมธรรม ภาคปลาย
4. สมถวิปัสนาแห่งยุคปรมณู
5. สันติภาพของโลก
6. อานาปาสติภาวนา
7. โอสาเรตัพพธรรม