[Font : 15 ]
| |
สังคีติกาจารย์เล่าเรื่องการทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทหลังการตรัสรู้

สังคีติกาจารย์เล่าเรื่อง การทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท หลังการตรัสรู้PTC01

สมัยนั้น พระพุทธเจ้าผู้มีพระภาค ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ยังประทับอยู่ที่โคนแห่งไม้โพธิ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในเขตตำบลอุรุเวลา. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งด้วยบัลลังค์อันเดียว ตลอดเจ็ดวัน ที่โคนแห่งไม้โพธิ์เสวยวิมุตติสุข.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำมนสิการซึ่งปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปฐมยามแห่งราตรี ดังนี้ ว่า:-

“เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย ;

เพราะมีสังขาร เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ ;

เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป ;

เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สยาฬตนะ ;

เพราะมีสยาฬตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ ;

เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา ;

เพราะมีเวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา ;

เพราะมีตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน ;

เพราะมีอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ ;

เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ ;

เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมของกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.

เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือ แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร :

เพราะมีความดับ แห่งสังขาร จึงมีความดับ แห่งวิญญาณ ;

เพราะมีความดับ แห่งวิญญาณ จึงมีความดับ แห่งนามรูป ;

เพราะมีความดับ แห่งนามรูป จึงมีความดับ แห่งสยาฬตนะ ;

เพราะมีความดับ แห่งสยาฬตนะ จึงมีความดับ แห่งผัสสะ ;

เพราะมีความดับ แห่งผัสสะ จึงมีความดับ แห่งเวทนา ;

เพราะมีความดับ แห่งเวทนา จึงมีความดับ แห่งตัณหา ;

เพราะมีความดับ แห่งตัณหา จึงมีความดับ แห่งอุปาทาน ;

เพราะมีความดับ แห่งอุปาทาน จึงมีความดับ แห่งภพ ;

เพราะมีความดับ แห่งภพ จึงมีความดับ แห่งชาติ ;

เพราะมีความดับ แห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขุโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้”, ดังนี้.

ลำดับนั้น ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีความรู้สึกอย่างนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ขึ้น ในขณะนั้น ว่า :-

“เมื่อใดเวย ธรรมทั้งหลาย เป็นของแจ่มแจ้ง

แก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียร เพ่งพินิจอยู่ ;

เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมหายไป

เพราะพราหมณ์นั้น รู้ทั่วถึงธรรม พร้อมทั้งเหตุ”, ดังนี้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำมนสิการซึ่งปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมและปฏิโลม ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ดังนี้ ว่า :-

“เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย ;

เพราะมีสังขาร เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ ;

เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป ;

เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ ;

เพราะมีสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ ;

เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา ;

เพราะมีเวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา ;

เพราะมีตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน ;

เพราะมีอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ ;

เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ ;

เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.

เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือ แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร ;

เพราะมีความดับ แห่งสังขาร จึงมีความดับ แห่งวิญญาณ ;

เพราะมีความดับ แห่งวิญญาณ จึงมีความดับ แห่งนามรูป ;

เพราะมีความดับ แห่งนามรูป จึงมีความดับ แห่งสฬายตนะ ;

เพราะมีความดับ แห่งสฬายตนะ จึงมีความดับ แห่งผัสสะ ;

เพราะมีความดับ แห่งผัสสะ จึงมีความดับ แห่งเวทนา ;

เพราะมีความดับ แห่งเวทนา จึงมีความดับ แห่งตัณหา ;

เพราะมีความดับ แห่งตัณหา จึงมีความดับ แห่งอุปาทาน ;

เพราะมีความดับ แห่งอุปาทาน จึงมีความดับ แห่งภพ ;

เพราะมีความดับ แห่งภพ จึงมีความดับ แห่งชาติ ;

เพราะมีความดับ แห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้” , ดังนี้.

ลำดับนั้น ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีความรู้สึกอย่างนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ขึ้น ในขณะนั้น ว่า :-

“เมื่อใดเวย ธรรมทั้งหลาย เป็นของแจ่มแจ้ง

แก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียร เพ่งพินิจอยู่ ;

เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมหายไป

เพราะพราหมณ์นั้น ได้รับแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งปัจจยธรรม ท.” ดังนี้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำมนสิการซึ่งปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ดังนี้ ว่า :-

เพราะมีอวิชา เป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย ;

เพราะมีสังขาร เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ ;

เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป ;

เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ ;

เพราะมีสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ ;

เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา ;

เพราะมีเวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา ;

เพราะมีตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน ;

เพราะมีอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ ;

เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ ;

เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.

เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือ แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร ;

เพราะมีความดับ แห่งสังขาร จึงมีความดับ แห่งวิญญาณ ;

เพราะมีความดับ แห่งวิญญาณ จึงมีความดับ แห่งนามรูป ;

เพราะมีความดับ แห่งนามรูป จึงมีความดับ แห่งสฬายตนะ ;

เพราะมีความดับ แห่งสฬายตนะ จึงมีความดับ แห่งผัสสะ ;

เพราะมีความดับ แห่งผัสสะ จึงมีความดับ แห่งเวทนา ;

เพราะมีความดับ แห่งเวทนา จึงมีความดับ แห่งตัณหา ;

เพราะมีความดับ แห่งตัณหา จึงมีความดับ แห่งอุปาทาน ;

เพราะมีความดับ แห่งอุปาทาน จึงมีความดับ แห่งภพ ;

เพราะมีความดับ แห่งภพ จึงมีความดับ แห่งชาติ ;

เพราะมีความดับ แห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้” , ดังนี้.

ลำดับนั้น ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีความรู้สึกอย่างนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ขึ้น ในขณะนั้น ว่า :-

“เมื่อใดเวย ธรรมทั้งหลาย เป็นของแจ่มแจ้ง

แก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียร เพ่งพินิจอยู่ ;

เมื่อนั้นพราหมณ์นั้นย่อมแผดเผามารและเสนาให้สิ้นไปอยู่

เหมือนพระอาทิตย์ (ขจัดมืด) ยังอากาศให้สว่างอยู่ ฉะนั้น”, ดังนี้.


เกี่ยวกับธรรมโฆษณ์ออนไลน์ (Disclaimer)
แม้ระบบ "ธรรมโฆษณ์ออนไลน์" พยายามปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องมากที่สุด ผู้ศึกษาก็พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือต้นฉบับ ที่มีการพิมพ์ครั้งล่าสุด ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง"

  |     |   แจ้งข้อผิดพลาด / แนะนำ